ไข้เลือดออก มัจจุราชใกล้ตัว ป้องกันยังไงดี
October 18 / 2023

 

       เมื่อฤดูฝนกำลังจะมาเยือนก็มักจะมีการระบาดของโรคไข้เลือดออก เนื่องจากการแพร่พันธุ์ของยุงลายในช่วงนี้ ซึ่งไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue) ที่ติดต่อโดยยุงลาย เป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพที่สำคัญโดยเฉพาะในเขตร้อนเช่นประเทศไทย ซึ่งมีความรุนแรงของโรคที่อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้น เพื่อป้องกันตัวเองจากโรคอันตรายนี้ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจมาตรการป้องกัน วันนี้เราจะพาไปสำรวจ 5 ขั้นตอนง่ายๆ ในการป้องกันตัวเองจากโรคไข้เลือดออกกันค่ะ

 

 

 

 

1.กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง : ยุงที่แพร่เชื้อไข้เลือดออกจะผสมพันธุ์ในน้ำนิ่ง ในประเทศไทย มีรายงานผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมากกว่า 100,000 รายในปี พ.ศ. 2565 เพื่อป้องกันการแพร่พันธุ์ ให้หมั่นตรวจสอบและเทน้ำที่ขังออกจากภาชนะที่ไม่มีฝาปิด กระถางดอกไม้ และสิ่งของที่ถูกทิ้ง รวมไปถึงต้องปิดฝาหรือคว่ำภาชนะไม่ให้มีน้ำขังได้ ป้องกันไม่ให้ยุงสามารถไปวางไข่ได้

 

 

 

 

2.ใช้ยากันยุง : ยากันยุงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการป้องกันยุงกัดและลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อไข้เลือดออกการใช้ยาขับไล่ที่มี DEET พิคาริดิน หรือน้ำมันเลมอนยูคาลิปตัส ทาบนผิวหนังและเสื้อผ้าจะช่วยกันยุงได้ในระดับหนึ่ง จากการศึกษาจำนวนผุ้ป่วยไข้เลือดออกในประเทศไทย พบว่าการใช้ยาทากันยุงอย่างต่อเนื่องช่วยลดผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น เมื่อจำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่เสี่ยงโดยยุงกัด จึงควรทายากันยุงไว้เพื่อความปลอดภัยด้วย

 

 

 

3.สวมชุดป้องกัน : การใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสมถือเป็นเกราะป้องกันร่างกายจากการถูกยุงกัดควรสวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และถุงเท้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มียุงชุกชุมในช่วงเช้าและค่ำ ควรเลือกเสื้อผ้าสีอ่อนเนื่องจากยุงชอบเสื้อผ้าสีเข้ม นอกจากนี้การรักษาเสื้อผ้าด้วยยาฆ่าแมลง permethrin ยังสามารถช่วยไล่ยุงได้มากขึ้นอีกด้วย

 

 

4.รักษาความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมในที่อยู่อาศัยของคุณ : ควรสร้างสภาพแวดล้อมในการป้องกันยุงที่บ้าน โดยใช้มุ้งลวดหน้าต่างและประตูเพื่อป้องกันยุงเข้า หากไม่มีมุ้งลวด ให้พิจารณาใช้มุ้งขณะนอนหลับ โดยเฉพาะในบริเวณที่มียุงชุม นอกจากนี้การใช้เครื่องปรับอากาศและพัดลมยังสามารถช่วยไล่ยุงได้ เนื่องจากยุงจะชอบอากาศนิ่งมากกว่า ควรปิดหน้าต่างและประตูหรือมุ้งลวดเมื่อเป็นไปได้ ครัวเรือนที่ใช้มาตรการเหล่านี้ พบว่ามีจำนวนของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

 

 

 

5.สร้างความตระหนักและส่งเสริมให้เกิดการป้องกันยุงภายในชุมชน : การป้องกันการแพร่พันธุ์ยุงเฉพาะในบ้านของเราอาจยังไม่เพียงพอต่อการควบคุมการระบาดของโรคไข้เลือดออกได้ ดังนั้น การสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมการดำเนินการของชุมชนในการป้องกันแหล่งแพร่พันธุ์ยุงนั้นถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งการรณรงค์ เพื่อขับเคลื่อนชุมชนในประเทศไทยได้แสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่น่ายินดี

 


 

การตรวจหาภูมิในเด็ก :

     การตรวจภูมิในเด็กที่เสี่ยงต่อการเป็นไข้เลือดออก (Dengue fever) มีความสำคัญเพื่อระบุว่าเด็กมีการติดเชื้อหรือไม่ และหากติดเชื้อแล้วควรระวังและดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากไข้เลือดออกเป็นโรคที่สามารถร้ายแรงได้ โดยเฉพาะในกรณีของเด็กเล็ก การตรวจภูมิสามารถทำได้โดยใช้วิธีต่าง ๆ ดังนี้:

 

1. ตรวจอุณหภูมิร่างกาย (Body Temperature):การวัดอุณหภูมิร่างกายเป็นวิธีง่ายๆ เพื่อตรวจสอบการเป็นไข้เป็นตัวช่วยในการตรวจสอบไข้เลือดออกเด็กที่ติดเชื้ออาจมีไข้สูงได้

2. ตรวจอาการอื่นๆ :การตรวจสอบอาการอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ,ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ,ครั่นเนื้อครั่นตัว,มีผื่นผดผื่นบนผิวหนัง เป็นต้น

3. ตรวจระดับเลือด :การตรวจระดับเลือดสามารถช่วยในการตรวจสอบอาการของไข้เลือดออก เช่น การตรวจนับเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดงรวมถึงการตรวจระดับเกล็ดเลือด (platelet) และหากมีความต้องการ การตรวจภูมิเลือดออก (hematocrit) และการตรวจอีนทริติน (hemoglobin)

4. การตรวจหาเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus Test):การตรวจหาเชื้อไวรัสเดงกีในเลือดถือว่าเป็นวิธีการที่แม่นยำมากในการวินิจฉัยไข้เลือดออก โดยสามารถตรวจหาเชื้อไวรัสได้ตากการทดสอบเชื้อไวรัสในเลือด

5. การตรวจคลื่นคอมพิวเตอร์ (CT Scan)หรือตรวจการทำงานของอวัยวะส่วนต่างๆ :ในกรณีที่ไข้เลือดออกมีอาการรุนแรงและมีความเสี่ยงต่อชีวิต อาจต้องทำ CT Scan เพื่อตรวจสอบสภาพของอวัยวะภายใน เช่น ตับและเป็นไต หรือตรวจการทำงานของอวัยวะเหล่านี้ด้วย

6. การตรวจ RP 22 :การตรวจ RP22 เป็นนวัตกรรมการตรวจหาเชื้อไวรัสได้ถึง 22 ชนิดจากการทดสอบเพียง 1 ครั้ง รวมไปถึงเชื้อไวรัสไข้เลือดออกด้วย จึงถือเป็นวิธีการที่มีความสะดวกรวดเร็วมากในการตรวจหาเชื้อไวรัสเดงกี

 


 

การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก  

       การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคนี้ โดยมีการให้วัคซีนที่ได้รับการรับรองจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทยในช่วงเวลาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยสามารถฉีดวัคซีนไข้เลือดออกได้ตั้งแต่อายุ 4-60 ปี ซึ่งสามารถป้องกันเชื้อไข้เลือดออกได้ถึง 4 สายพันธุ์ อีกทั้งยังลดอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ถึง 90.4% โดยทั่วไปแล้วเพื่อประสิทธิภาพที่ดีในการป้องกันไข้เลือดออก ควรฉีดวัคซีนให้ครบ 2 เข็ม และมีระยะเวลาห่างกัน 3 เดือน เพื่อป้องกันการติดเชื้อในระยะยาว การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกมีประโยชน์มาก ไม่เพียงแต่ในการป้องกันโรคแต่ยังช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคในสังคม การมีส่วนร่วมในการฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกเป็นการช่วยส่งเสริมสุขภาพทั้งร่างกายและสังคมและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค

 

       ไข้เลือดออกนั้นถือเป็นปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงโดยเฉพาะในประเทศไทยอย่างไรก็ตาม หากทำตามขั้นตอนง่ายๆ เหล่านี้ คุณจะสามารถป้องกันตัวเองจากโรคนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ใช้ยาขับไล่ สวมชุดป้องกัน รักษาสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของคุณ และส่งเสริมการดำเนินการของชุมชน โดยเฉพาะการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกไว้ก่อน ซึ่งที่โรงพยาบาลเชียงใหม่ รามมีบริการฉีดวัคซีนพร้อมให้คำปรึกษาโดยไม่ต้องตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีด ไม่ว่าจะเคยหรือไม่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อน โปรดจำไว้ว่าการป้องกันโรคไข้เลือดออกนั้นสามารถเริ่มต้นได้ที่ตัวคุณ หมั่นหาข้อมูล ใช้ความระมัดระวัง ลดความเสี่ยงของการถูกยุงกัด และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นทำเช่นเดียวกัน เราก็จะสามารถร่วมกันต่อสู้กับโรคไข้เลือดออก สร้างอนาคตที่ปลอดภัยและมีสุขภาพดีขึ้นได้สำหรับทุกคน

 

วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก >>  https://www.chiangmairam.com/readpackage/128

 

 

 

หากท่านมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ การฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ โรงพยาบาลเชียงใหม่ ราม 

 

  • อายุ 4-15 ปี ติดต่อที่แผนกผู้ป่วยโรคเด็ก ชั้น 5 โทร.052-004604 เวลา 08:00-22:00 น.

  • อายุ 15-60 ปี ติดต่อที่ศูนย์สุขภาพ เชียงใหม่ราม เฮลล์เซนเตอร์ โทร.052-004623 เวลา 08:00-16:00 น.