
สุขภาพหัวใจและหลอดเลือดถือเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่คนไทยยุคนี้ต้องใส่ใจ เพราะโรคหัวใจกลายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประเทศ และหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงคือ ค่า LDL หรือไขมันไม่ดีในเลือด ซึ่งหากปล่อยให้สูงเกินไปโดยไม่ควบคุม อาจนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดตีบตันและโรคหัวใจได้ในที่สุด
บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า LDL คืออะไร, ค่าปกติควรอยู่ที่เท่าไหร่, รวมถึงวิธีลดค่า LDL ให้กลับมาอยู่ในระดับปลอดภัย เพื่อให้คุณดูแลสุขภาพหัวใจได้อย่างถูกต้องที่สุด
คำว่า LDL ย่อมาจาก Low-Density Lipoprotein ซึ่งเป็นชนิดหนึ่งของคอเลสเตอรอลที่ลำเลียงไขมันจากตับไปยังเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ในปริมาณที่เหมาะสม LDL มีหน้าที่สำคัญต่อการสร้างฮอร์โมนและเยื่อหุ้มเซลล์ แต่เมื่อมีมากเกินไป ไขมัน LDL จะเริ่มสะสมตามผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบและแข็ง ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไม่ปกติ
นอกจาก LDL แล้ว ในเลือดยังมีไขมันอีกชนิดที่หลายคนคุ้นชื่อคือ HDL (High-Density Lipoprotein) หรือที่รู้จักกันว่า ไขมันดี ซึ่งจะช่วยนำคอเลสเตอรอลส่วนเกินกลับไปสู่ตับเพื่อกำจัดออกจากร่างกาย ดังนั้น หากคุณต้องการหัวใจที่แข็งแรง ควรพยายาม ลด LDL และเพิ่ม HDL ให้อยู่ในระดับสมดุล
การรู้ว่า ldl ค่าปกติ อยู่ที่เท่าไหร่ถือว่าสำคัญมาก เพราะแต่ละคนมีระดับความเสี่ยงต่างกัน ทั้งตามอายุ เพศ และภาวะสุขภาพอื่น ๆ
ตารางด้านล่างคือเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้โดยทั่วไป (หน่วย mg/dL)
|
กลุ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ |
ค่า LDL ที่เหมาะสม (mg/dL) |
|
คนทั่วไป (ความเสี่ยงต่ำ) |
ต่ำกว่า 130 |
|
ผู้ที่มีความเสี่ยงระดับปานกลาง (มีปัจจัยบางอย่าง เช่น สูบบุหรี่ หรือ อ้วนลงพุง) |
ต่ำกว่า 100 |
|
ผู้ที่มีโรคหัวใจ เบาหวาน หรือ ความดันโลหิตสูง |
ต่ำกว่า 70 |
|
ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงมาก (เคยมีโรคหัวใจ หรือ โรคหลอดเลือดสมองมาก่อน) |
ต่ำกว่า 55 |
หากคุณเป็นคนสุขภาพดีทั่วไป ควรรักษา LDL ให้น้อยกว่า 130 mg/dL
แต่ถ้ามีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหัวใจ หรือ เบาหวาน ควรลดให้ต่ำกว่า 70 mg/dL
หลายคนพบว่าผลตรวจไขมันออกมาสูงโดยไม่รู้สาเหตุ ทั้งที่ไม่ได้กินของมันมากนัก สาเหตุของ ค่า LDL สูง มีได้หลายประการ เช่น
พฤติกรรมการกิน
การรับประทานอาหารที่มี ไขมันอิ่มตัวสูง เช่น หมูกรอบ ของทอด ขนมอบ เบเกอรี่
การบริโภค ไขมันทรานส์ ที่พบในมาการีน ครีมเทียม และขนมขบเคี้ยว
ขาดการออกกำลังกาย
ร่างกายที่ไม่ได้ขยับเป็นเวลานานทำให้ระบบเผาผลาญทำงานช้า ส่งผลให้ไขมันไม่ดีสะสมในเลือดมากขึ้น
น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน
คนที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) สูงกว่า 25 มักมีแนวโน้มค่า LDL และ Triglyceride สูงกว่าคนปกติ
ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ
ฮอร์โมน คอร์ติซอล (Cortisol) ที่หลั่งออกมาเวลาคุณเครียด จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างไขมันเพิ่มขึ้น
อายุที่เพิ่มขึ้น
เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะกำจัด คอเลสเตอรอล ได้ช้าลง ส่งผลให้ LDL มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
แม้คุณอาจไม่รู้สึกผิดปกติใด ๆ ในช่วงแรก แต่ LDL สูงคือภัยเงียบ ที่ทำลายสุขภาพภายในอย่างช้า ๆ เพราะไขมันเหล่านี้จะไปเกาะตามผนังหลอดเลือดจนหนาและแข็งขึ้น เกิดเป็น คราบไขมัน (Plaque) ที่ขัดขวางการไหลเวียนของเลือด
หากปล่อยไว้เป็นเวลานาน อาจนำไปสู่ภาวะเหล่านี้ได้
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease) เมื่อหลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจตีบ หัวใจจะทำงานหนักและเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลัน
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เมื่อหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก อาจทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง หัวใจต้องสูบฉีดแรงขึ้นเพื่อให้เลือดไหลผ่านหลอดเลือดที่ตีบ
โรคไต และความผิดปกติของการทำงานของอวัยวะอื่น ๆ
ค่า LDL สูงไม่เพียงเกี่ยวกับอาหารเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมชีวิตโดยรวม เช่น การนอนดึก หรือ ความเครียดสะสม
การลดค่า ldl cholesterol ค่าปกติ ให้อยู่ในเกณฑ์ดีไม่จำเป็นต้องพึ่งยาเสมอไป ในหลายกรณีการปรับพฤติกรรมอย่างต่อเนื่องสามารถทำให้ผลตรวจดีขึ้นได้จริง
ลดไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์
หลีกเลี่ยงอาหารทอด ของมัน ควรเปลี่ยนมาใช้น้ำมันที่ดีต่อหัวใจ เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว
เพิ่มไฟเบอร์ เส้นใยอาหาร
ผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสีช่วยดักจับคอเลสเตอรอลส่วนเกินในลำไส้ ทำให้ LDL ลดลง
ปลาที่มีกรดไขมัน โอเมกา 3
ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน มีกรดไขมัน โอเมกา 3 ที่ช่วยลดไขมันไม่ดีและเพิ่ม HDL ได้
ดื่มน้ำให้เพียงพอและลดน้ำตาล ของหวาน
การออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือ วิ่ง อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน ช่วยลดไขมันไม่ดี (LDL) ได้ นอกจากนี้ การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิง (Weight Training) ก็มีส่วนช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกายได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อทำร่วมกับการคุมอาหาร
น้ำหนักตัวที่มากสามารถเพิ่ม LDL ในเลือดได้ ดังนั้นการลดน้ำหนักให้เหมาะสมจึงเป็นทางออกที่ดีเยี่ยม
นอกจากนี้ ความเครียด ยังเป็นอีกปัจจัยที่คนมักมองข้าม เพราะฮอร์โมนคอร์ติซอลที่หลั่งตอนเครียดจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างไขมันเพิ่ม ดังนั้นควรหาเวลาพักผ่อน นอนให้เพียงพอ ฝึกสมาธิ หรือ ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจ
ทางโรงพยาบาลเชียงใหม่ รามได้มีแพ็กเกจตรวจคัดกรองเบาหวาน โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะมาคอยดูแลการตรวจทุกขั้นตอนพร้อมให้คำปรึกษาในการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะกระทบต่อโรคร้าย