โรคภูมิแพ้สาเหตุเกิดจากอะไร รักษาให้หายได้ไหม
January 14 / 2025

โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ

โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยมลภาวะ ฝุ่นควัน และสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ ผู้ป่วยมักมีอาการ เช่น ไอ จาม น้ำมูกไหล คัดจมูก หรือแม้แต่หายใจไม่สะดวก ซึ่งอาจทำให้ลำบากต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยตรง 

สาเหตุหลักของโรคภูมิแพ้คือ การที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายมากเกินไป เช่น ฝุ่นละออง ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ เชื้อราในอากาศ หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดอาการต่าง ๆ

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับสาเหตุของโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ อาการที่ควรระวัง วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการ และแนวทางป้องกันไม่ให้อาการกำเริบ เพื่อให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจมากขึ้น

โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ เกิดจากอะไร

โรคภูมิแพ้เกิดจาก ความผิดปกติในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งโดยปกติแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันมีหน้าที่ป้องกันร่างกายจากสิ่งแปลกปลอมที่อาจเป็นอันตราย เช่น แบคทีเรีย ไวรัส แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ระบบภูมิคุ้มกันจะมีการตอบสนองไวเกินกว่าปกติต่อสารที่ไม่เป็นอันตราย เช่น ฝุ่นละออง ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ อาหารบางชนิด หรือแม้แต่ยาบางประเภท

เมื่อร่างกายได้รับสารเหล่านี้เข้าไป ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจะเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งอันตราย และเริ่มสร้าง แอนติบอดีที่เรียกว่า IgE (Immunoglobulin E) ซึ่งเป็นโปรตีนเฉพาะที่ทำหน้าที่จดจำสารก่อภูมิแพ้นั้น ๆ

หากผู้ป่วยได้รับสารก่อภูมิแพ้ครั้งต่อไป IgE ที่ถูกสร้างไว้จะไปจับกับสารก่อภูมิแพ้นั้น และกระตุ้นให้ เม็ดเลือดขาวชนิด Mast Cell ปลดปล่อยสารเคมีฮีสตามีน (Histamine) ออกมาซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดอาการของโรคภูมิแพ้ เช่น คันตามผิวหนัง เป็นผื่นแดง คัดจมูก หายใจไม่สะดวก หรือเกิดลมพิษ

สารก่อภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ

  1. ไรฝุ่น

ตัวไรฝุ่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ ซึ่งสารก่อภูมิแพ้จะมาจากมูลตัวไรฝุ่น ​เมื่อมูลของไรฝุ่นแห้งก็จะฟุ้งกระจายเป็นฝุ่นละอองอนุภาคเล็ก ๆ ในอากาศ เมื่อหายใจเข้าฝุ่นละอองเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายอาจจะก่อให้เกิดอาการโรคภูมิแพ้ได้
 

  1. ฝุ่นละออง

หากร่างกายสูดดมฝุ่นละอองเข้าไปจะทำให้เกิดการอักเสบบริเวณหลอดลม เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ อาจส่งผลให้เกิดอาการ ภูมิแพ้โพรงจมูก จาม น้ำมูก คัดจมูก
 

  1. สปอร์เชื้อรา

สปอร์ของเชื้อรามีขนาดเล็กประมาณ 2-5 ไมครอนที่จะกระจายไปในอากาศหากเมื่อสูดดมเข้าไปในร่างกาย สปอร์เชื้อราจะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตสารที่ฮิสตามีนออกมา จนก่อให้เกิดอาการอาการแพ้ เช่น ไอ คันตา คัดจมูก มีน้ำมูกไหล หรือมีอาการปวดศีรษะ
 

  1. ละอองเกสรดอกไม้
     

ควรหลีกเลี้ยงไม่ให้ร่างกายได้รับ สัมผัส หรือสูดดมสารก่อภูมิแพ้เหล่านี้เข้าไป หากไม่สามารถหลีกเลี้ยงได้ควรที่จะใส่หน้ากากอนามัยป้องกันไม่ให้สารก่อภูมิเข้าสู่ร่างกาย

อาการโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจที่พบบ่อย

อาการของโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจที่พบบ่อยได้แก่

 

  • คัดจมูก

  • น้ำมูกไหล

  • จาม

  • มีอาการไอ

  • หายใจมีเสียงน้ำมูก

  • คันตา แสบตา

  • มีเสมหะไหลลงคอ เจ็บคอ ไอเรื้อรัง

  • เลือดกำเดาไหล

วิธีดูแลป้องกันไม่ให้เกิดโรคทางเดินหายใจ

  1. หลีกเลี่ยงการสูดดม หรือ สัมผัสกับปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการภูมิแพ้เช่น ฝุ่งละออง, ขนสัตว์ ไรฝุ่น

  2. พักผ่อนให้เพียงพอ 

  3. รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย

  4. ทำความสะอาดเป็นประจำ

  5. ควรซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าม่าน เพื่อกำจัดไรฝุ่นที่เป็นตัวการทำให้เกิดอาการภูมิแพ้

วิธีรักษาและวินิจฉัยโรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในทุกช่วงวัย ซึ่งแม้จะไม่ใช่โรคที่อันตรายถึงชีวิตในทันที แต่สามารถส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้อย่างมาก ดังนั้นการวินิจฉัยและรักษาโรคภูมิแพ้ให้ตรงจุด จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

วิธีรักษาโรคภูมิแพ้

1. ใช้ยารักษาเพื่อบรรเทาอาการให้เบาลง

  • ยาต้านฮีสตามีน (Antihistamines)
    ช่วยบรรเทาอาการจาม คัดจมูก น้ำมูกไหล หรือผื่นคัน ตัวอย่างยาต้านฮีสตามีนได้แก่ ลอราทาดีน (Loratadine), เซทิริซีน (cetirizine) เฟโซเฟนาดีน (fexofenadine) เลโวเซทิริซีน (levocetirizine), เดสลอราทาดีน (desloratadine)
     

  • ยาสเตียรอยด์ (Steroid)
    จะช่วยลดอาการอักเสบ บวมแดง ซึ่งถูกผลิตออกมา 2 รูปแบบด้วยกันคือ สเตียรอยด์ประเภทใช้ภายนอก และ สเตียรอยด์ประเภทยารับประทานหรือฉีด

2. การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ (Allergen Immunotherapy)

เป็นการรักษาโรคภูมิแพ้ในระยะยาว เหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง หรือรักษาด้วยยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น โดยแพทย์จะควบคุมการให้สารก่อภูมิแพ้ในปริมาณน้อย ๆ เข้าไปในร่างกาย เพื่อให้ร่างกายค่อย ๆ สร้างภูมิต้านทาน

 

วิธีการรักษานี้ต้องอยู่ภายใต้ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทาง การรักษาจะใช้เวลาในการรักษานาน 3–5 ปี สามารถลดความไวต่อสารก่อภูมิแพ้ และอาการแพ้ได้ในระยะยาว

การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้

1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย

แพทย์จะเริ่มจากการสอบถามประวัติอาการของผู้ป่วย เช่น มีอาการไอ จาม คัดจมูก ผื่น หรือแน่นหน้าอกบ่อยแค่ไหน อาการเป็นช่วงเวลาใด หรือมีปัจจัยอะไรที่กระตุ้นให้เกิดอาการ จากนั้นจะทำการตรวจร่างกายเบื้องต้นร่วมด้วย

2. การทดสอบทางผิวหนัง (Skin Prick Test)

วิธีนี้แพทย์จะหยดสารก่อภูมิแพ้ชนิดต่าง ๆ ลงบนผิวหนังที่แขนหรือหลัง แล้วใช้เข็มเล็ก ๆ จิ้มเบา ๆ เพื่อให้สารสัมผัสกับผิวหนัง หากผู้ป่วยแพ้สารชนิดใด บริเวณนั้นจะมีอาการบวมแดงคล้ายยุงกัดภายใน 15–20 นาที

3. การตรวจเลือดหาแอนติบอดี IgE

เป็นวิธีที่ใช้ตรวจในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถทำ Skin Test ได้ เช่น เด็กเล็ก ผู้ที่มีผื่นมาก หรือผู้ที่รับประทานยาต้านภูมิแพ้ โดยวิธีการตรวจเลือดจะวัดระดับแอนติบอดี IgE เฉพาะต่อสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ เพื่อดูว่าร่างกายไวต่อสารก่อภูมิแพ้สิ่งใดบ้าง

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การตรวจสอบโรคภูมิแพ้แต่ละวิธีมีอะไรบ้าง

อย่ารอช้าหากเกิดอาการคัดจมูก ไอ จาม หรือมีอาการแพ้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วทำการรักษาตั้งแต่เนิ่น เพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้ปอดติดเชื้อหรือเกิดการอักเสบไปมากกว่านี้

สามารถติดต่อแผนกห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลเชียงใหม่ ราม ตลอด 24 ชั่วโมงได้ทันที